Edit title Here

Blogger templates

10/07/2555

ลิเวอร์พูล 0-0 สโต๊ค ซิตี้

ลิเวอร์พูล 0-0 สโต๊ค ซิตี้
เบรนแดน รอดเจอร์สยังไว้วางใจใช้นักเตะพลังหนุ่มลงสนามแบบไม่มีพลิกโผนำโดยอันเดร วิสดอม, ซูโซ่และราฮีม สเตอร์ลิ่งส่วนขุมกำลังหลักยังเป็นหน้าที่ของสตีเว่น เจอร์ราร์ดคุมแดนกลางคู่กับโจ อัลเลนและนูริ ซาฮินโดยมีหลุยส์ ซัวเรซที่ซัดแฮททริคในเกมลีกนัดก่อนลงล่าตาข่าย

ด้านโทนี่ พูลิสจัดทีมที่สมบูรณ์ลงสนามแต่ยังไม่มีไมเคิ่ล โอเว่นทั้งในและข้างสนามเป็นหน้าที่ของปีเตอร์ เคร้าช์ที่กำลังท็อปฟอร์มลงป่วนแนวรับ"หงส์แดง"ขณะที่แดนกลางมีชาร์ลี อดัมที่ได้กลับมาเล่นในแอนฟิลด์เป็นนัดแรกนับตั้งแต่ย้ายออกจากทีมเมื่อช่วง ซัมเมอร์เป็นตัวบงการเกม 

ครึ่งแรก 

เหยินหลอก 2 ชั้นหงส์ได้เสียว 
เกมของทั้งคู่ยังแทบไม่มีจังหวะอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่ได้เสียวเป็นลูกที่ซา ฮินวางยาวข้ามฝากมาให้ซัวเรซดูดลงเกือบๆปีกซ้ายก่อนลากยึกยักหลอกคาเมรอนสอง หนตรงเส้นหลังจนล้มลุกคลุกคลานแล้วปาดมาให้ซาฮินตั้งเท้ายิงแต่ไปติดสเตอร์ ลิ่งพวกเดียวกันอย่างน่าเสียดาย 

หงส์เผลอหวิดพัง 
นาที 15 ทีมเยือนได้ฟรีคิกระยะเปิดเข้ามาวัดดวงน่าลุ้นและเป็นวีแลนที่ปั่นไซด์มาที่ จุดนัดพบบอลหลุดมาถึงเสาสองกำลังจะเข้าทางปืนเพื่อนร่วมทีมแต่สเคอร์เทลตวัด ทิ้งแบบหวุดหวิดสุดๆ 

เรน่าเฟอะฟะเกือบเน่า
นาที 20 เรน่าทำเอาเดอะ ค็อปหัวใจแทบวายหลังออกบอลเลียดหน้าประตูตัวเองให้เพื่อนแต่ตรงนั้นมีผู้ เล่นสโต๊คยืนแทบจะดูดปากกันเลยถูกตัดได้ก่อนที่วอลเตอร์สจะรับหยอดชิพหมาย ข้ามหัวแต่โกล์เชิญยิ้มถอยหลังปัดทิ้งยอมเสียเตะมุมก่อนแก้เขินด่าเพื่อนทำ ไม้ทำมือว่าพวกมึงทำไมไม่ขยับมาเอาบอล 

หัวขิงยิงไกลเจอเซฟแจ่ม 
เกมของ"หงส์แดง"ไม่ได้เหนือกว่าสโต๊คเลยเพราะเจอเข้าเร็วถึงเนื้อถึงตัวแต่ กรรมการก็เริ่มปกป้องบ้างแล้วหลังให้ใบเหลืองไนท์ลีย์ที่ไปเสียบใส่อัลเลนจน ล้มหัวทิ่มแต่นาที 26 เศษๆเจอร์ราร์ดเห็นเจาะยากแล้วได้บอลไร้ตัวเข้าประกบเลยลากมายิงไกล 25 หลาบอลพุ่งสุดแรงแต่เบโกวิชพุ่งปัดทิ้งข้างเสา สุดยอดทั้งคู่ 

แอกเกอร์แหย่หวิดหาย
อีก 2 นาทีต่อมาเจ้าถิ่นได้เสียวอีกหนหลังซูโซ่พยายามยิงไกลแต่บอลติดบล็อกแล้วมา เข้าทางอีกหนคราวนี้เลยหยอดเข้าเขตโทษเป็นแอกเกอร์ที่สอดมาสไลด์แหย่สุดปลาย ขาบอลค่อยๆกลิ้งออกข้างเสาไปอย่างน่าเสียดาย 

หม้อหนักต่อเนื่อง 
นาที 33 ทีมเยือนจ่ายบอลเสียกลางสนามเจอร์ราร์ดโชว์ดักบอลแล้วแทงให้ซัวเรซแตะอ้อม ตัวฮูธที่สไลด์ทิ้งตัวกะเอาให้ขาขาดแต่พอเหยินเบี่ยงหลบเจอกวาด กรรมการชักใบเหลืองทันทีเพราะเป็นจังหวะกำลังจะหลุดไปทำประตู 

หม่อมเหยินเข้าหนัก 
นาทีสุดท้ายของครึ่งแรกซูโซ่จ่ายบอลทะลุช่องให้ซัวเรซเบียดผ่านกองหลัง เข้าไปในกรอบเขตโทษแต่จังหวะสุดท้ายเบโกวิชพุ่งออกมารับทั้งบอลทั้งขา ของ"หม่อมเหยิน"ก่อนลุกขึ้นมาต่อว่าเล็กน้อยที่ดาวยิง"หงส์แดง"ไม่ยอมแตะ เบรกก่อนที่จะหมดครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ 0-0 

ครึ่งหลัง 

หงส์ชิ่งสไตล์บุกใส่หม้อ 
เจ้าถิ่นดาหน้าบุกด้วยสไตล์การทำชิ่งเนียนตามากขึ้นเรื่อยๆแต่ก็ยังแค่ ป้วนเปี้ยนอยู่หน้าปากเขตโทษของสโต๊คยังไม่มีโอกาสได้จบแบบจะแจ้งมากนักและ ในนาทีที่ 50 เกล็น จอห์นสันทนต่อบอลไม่ไหวลองลักไก่ยิงไกลจากนอกเขตโทษเบโกวิชล้มตะครุบไว้ได้ 

ถัดมาอีกไม่กี่นาทีเจอร์ราร์ดได้บอลกลางสนามก่อนมองไกลและจ่ายคิลเลอร์พาสไป ให้จอห์นสันที่เติมหน้าตั้งขึ้นมาในกรอบเขตโทษด้านซ้ายก่อนที่ตะยิงบอลเร็ว ข้ามคานออกไป 

หงส์ดีแต่ป้อยิงไม่เป็น 
ผ่านมา 1 ชั่วโมงเต็มเกมยังคงอึดอัดอย่างยิ่งเพราะลิเวอร์พูลครองบอลได้แทบจะหมดก็ จริงแต่ยังไม่อาจมีจังหวะเข้าทำสวยๆได้แค่ผ่านบอลกันไปมาแล้วก็มาเสียใน จังหวะสุดท้ายเท่านั้น 

เหยินโชว์เดี่ยวได้จบเหมือนกัน 
น. 61 ซัวเรซโชว์จังหวะพ่อเลี้ยงอีกแล้วเมื่อได้บอลตรงกลางสนามก่อนก้มหน้าเลี้ยง ตามสไตล์ผ่านกองหลังของสโต๊ค 2-3 คนที่สกัดไม่อยู่ก่อนจะหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษแต่จังหวะยิงกลับเสียหลักนิดๆ ทำให้อัดด้วยซ้ายบอลข้ามคานออกไป 

โคลคัมแบ็กประเดิมพรีเมียร์นัดแรก 
เกมยังดูตื้อๆสำหรับเจ้าถิ่นทำให้รอดเจอร์สจำเป็นต้องแก้เกมบ้างด้วยการส่ง โจ โคลที่หายจากอาการเดี้ยงยาวกลับมาลงสนามแทนซูโซ่ที่เล่นได้เด่นเหมือนกันใน แมตช์นี้ในนาทีที่ 67 

สเตอร์ลิ่งแปชนเสา 
น. 71 แอกเกอร์เห็นบรรดาแนวรุกไร้จินตนาการไม่ไหวจัดการลากบอกขึ้นมาสอนวิธีเล่น เกมบุกและสามารถลากเข้าไปในกรอบเขตโทษด้านซ้ายก่อนปาดบอลมาถึงเสาสองให้สเต อร์ลิ่งที่ยืนอยู่โล่งๆตัดสินใจแปด้วยขวาทันทีบอลผ่านเบโกวิชไปแล้วแต่ดันไป ชนโคนเสาออกหลังไป 

หม่อมเหยินพุ่งอีกแล้ว 
เป็นจังหวะที่ซัวเรซพยายามเลี้ยงแหวกกองหลังทีมเยือนเข้าไปในกรอบเขตโทษและ พยายามล็อกบอลกลับมาด้านหลังซึ่งชอว์ครอสส์เอาเท้าไปเกี่ยว"หม่อมเหยิน"แบบ แทบไม่โดนทำให้ดาวเตะอุรุกวัยพุ่งล้มทันทีแต่ไร้เสียงนกหวีดของกรรมการ 

หลังจากนั้นซัวเรซก็ได้ลุ้นทำประตูอีกครั้งจากจังหวะที่เลี้ยงบอลเข้าไปใน กรอบเขตโทษด้านขวาก่อนก้มหน้ายิงมุมแคบแต่บอลไปโดนเสาดังสนั่นออกหลังไปอีก ครั้ง 

เข้าหนักได้ผลหงส์บ้อท่าตีหม้อไม่แตก 
ลิเวอร์พูลมีโอกาสได้ลุ้นประตูอย่างที่สุดในจังหวะที่สตีเว่น เจอร์ราร์ดเปิดฟรีคิกไกลร่วม 40 หลามาให้สเคอร์เทลที่อยู่เสาไกลเบียดกับกองหลังสโต๊คก่อนเกี่ยวบอลผ่านปาก ประตูที่มีซัวเรซยืนอยู่แต่เข้าไม่ถึงบอลผ่านออกหลังไปในช่วงนาทีสุดท้ายของ เกมก่อนจบด้วยการเจ๊าแบบไร้สกอร์ 

ที่มา : http://www.hugball.com/matchreport-Premier-League-Liverpool-vs-Stoke-City-5751.html

10/01/2555

นอริช ซิตี้ 2-5 ลิเวอร์พูล

นอริช ซิตี้ 2-5 ลิเวอร์พูล

เบรนแดน รอดเจอร์สตกอยู่ในความกดดันต้องพาทีมชนะนัดแรกให้ได้เสียทีโดยนัดนี้เขา ตัดสินใจพึ่งบริการนักเตะพลังหนุ่มอย่างอันเดร วิสดอมในตำแหน่งแบ็กขวา, ซูโซ่ กับราฮีม สเตอร์ลิ่ง คอยกระชากลากเลื้อยบริเวณริมเส้น 

ส่วนกองกลางนั้นนูริ ซาฮินที่กลางสัปดาห์เพิ่งเหมาคนเดียว 2 ประตูได้โอกาสลงมาทำเกมเคียงข้างสตีเว่น เจอร์ราร์ดและโจ อัลเลนส่วนหน้าที่ป่วนกองหลังตกเป็นของหลุยส์ ซัวเรซเหมือนเดิม 

ครึ่งแรก 

"หม่อมเหยิน"อย่างไวพาหงส์นำโคตรเร็ว 
เพียงแค่นาทีแรกของเกม"หงส์แดง"ก็ได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็วเมื่อเกล็น จอห์นสันลากบอลขึ้นมาริมเส้นด้านซ้ายก่อนจ่ายเข้าเขตโทษหวังให้นูริ ซาฮินที่แลปขึ้นมาแต่โดนสกัดออกมาได้แต่ดันมาเข้าทางหลุยส์ ซัวเรซที่ยืนรอหน้ากรอบเขตโทษแตะบอลหลบกองหลังหนึ่งจังหวะพร้อมตวัดด้วยขวา หน้ากรอบเขตโทษบอลเลียดย้อนศรพุ่งเข้าโคนเสาขวามือของจอห์น รัดดี้ที่พุ่งปัดไม่ถึงเป็นสกอร์นำให้ทีมเยือน 1-0 

ถัดจากนั้นเพียง 2 นาทีนูริ ซาฮินเปิดฟรีคิกจากด้านขวาเข้ามากลางประตูเข้าหัวแดเนี่ยล แอ็กเกอร์ก้มโหม่งข้ามคานออกไป 

นอริชโต้บ้างเรน่าบล็อกทัน 
มาถึงนาทีที่ 8 นอริชได้โอกาสลุ้นทำประตูบ้างเมื่อไซเมี่ยน แจ็คสันวิ่งขึ้นมาตรงกรอบเขตโทษด้านซ้ายก่อนตวัดยิงเร็วเข้าทางเสาแรกแต่ เป็นเปเป้ เรน่าที่ยืนปิดมุมดีบล็อกบอลออกไปได้หวุดหวิด 

ชาตินี้ก็ไม่ได้ลูกโทษ! 
มาถึงนาทีที่ 21 "หม่อมเหยิน"อดได้จุดโทษอีกแล้วเมื่อหลุยส์ ซัวเรซบังบอลในกรอบเขตโทษก่อนจะง้างเท้ายิงแต่โดนลีออน บาร์เน็ตต์เบียดมาจากด้านหลังดันจนหน้าคะมำลงไปซึ่งจากภาพช้าน่าจะเป็นจุด โทษอย่างชัดเจนแต่กรรมการก็ยังใจแข็งไม่เป่าให้เป็นลูกจุดโทษแก่"หงส์ แดง"อีกแล้ว 

นกขมิ้นยิงแรงแต่แค่เสียว 
เจ้าถิ่นทำเกมโต้กลับมาทางด้านซ้ายอีกแล้วก่อนครอสบอลไปทางเสาสองให้แอน ดรูว์ เซอร์แมนโหม่งชงมาให้ไซเมี่ยน แจ็คสันยิงด้วยซ้ายเต็มข้อระยะประมาณ 12 หลาแต่บอลโด่งข้ามคานออกไป 

หัวขิงได้โหม่งรัดดี้เซฟเหลือเชื่อ 
ถึงนาทีที่ 33 ลิเวอร์พูลได้ลุ้นอย่างที่สุดเมื่อซูโซ่ทำชิ่งกับซัวเรซริมเส้นด้านซ้ายก่อน ที่"หม่อมเหยิน"จะลากบอลตัดมากลางสนามแล้วตวัดบอลโด่งข้ามหัวกองหลังให้สตี เว่น เจอร์ราร์ดที่พุ่งเข้าไปในกรอบเขตโทษได้โหม่งตรงกรอบแต่ไปติดเซฟของจอห์น รัดดี้ 

จังหวะถัดมานอริชได้โหมบุกขึ้นมาบ้างก่อนได้จังหวะยิงอยู่ 2-3 ครั้งจนกองหลังของ"หงส์แดง"ปั่นป่วนไปเหมือนกันแต่ยังไม่เสียประตู 

ซัวเรซปั่นไซร์หงส์ทะยาน 2-0 
นาทีที่ 37 หลุยส์ ซัวเรซ ได้รับบอลทะลุช่องจากกลางสนามไปดวลเดี่ยวกับรัดดี้แต่บรรจงแปบอลออกหลังไปหน้าตาเฉย 

จังหวะต่อเนื่องนอริชได้ตั้งเตะจากปากประตูรัดดี้ส่งบอลมาให้ไมเคิ่ล เทอร์เนอร์จับบอลไม่ดีและเป็นซัวเรซที่เพิ่งยิงออกไปจังหวะก่อนหน้าวิ่งแซง มาฉกบอลได้พร้อมจิ้มบอลลอดขาเทอร์เนอร์หนึ่งจังหวะและดีดด้วยหัวเกือกหน้า ปากเขตโทษบอลไซร้ก้อยพุ่งไปตุงตาข่ายเสาสองแบบงามหยดชนิดรัดดี้หมดปัญญา ป้องกันทำให้อาตันตุกะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นำห่าง 2-0 

ครึ่งหลัง 

นกขมิ้นพลาดตีไข่แตกน่าเขกกะโหลก 
เริ่มเกมครึ่งหลังไม่กี่วินาทีสตีฟ มอร์ริสันลากเลื้อยผ่านเกล็น จอห์นสันมาถึงสุดเส้นด้านขวาก่อนตักมาให้ไซเมี่ยน เซอร์แมนวอลเล่ย์เต็มข้อบอลทำท่าจะเข้าประตูอยู่แล้วแต่ดันไปโดนโรเบิร์ต สน็อดกลาสส์ที่วิ่งมาเตรียมตัวซ้ำบอลเด้งข้ามคานไปอดได้ประตูตีไข่แตกสุด เหลือเชื่อ

ซาฮินอีกขอมั่ง!! 
น. 47 ราฮีม สเตอร์ลิ่งลากขึ้นมาในจังหวะโต้กลับก่อนส่งให้หลุยส์ ซัวเรซแตะเข้าไปด้านซ้ายในกรอบเขตโทษพร้อมตวัดบอลมากลางประตูกองหลังนอริ ชวิ่งมาเคลียร์ไม่ขาดบอลมาเข้าทาง"หม่อมเหยิน"อีกครั้งซึ่งเขาก็จับบอลก่อน จ่ายไปให้นูริ ซาฮินที่วิ่งเติมขึ้นมาเวลาเหมาะเหม็งแปบอลด้วยซ้ายระยะจ่อๆตุงตาข่ายมาถึง ตรงนี้"หงส์แดง"ทะยานนำ 3-0 แล้ว 

หลังเสียประตูที่ 3 เจ้าถิ่นไม่มีอะไรจะเสียตั้งหน้าตั้งตาบุกแหลกและเกือบได้ประตูตีเสมอหลายครั้งแต่บอลยังไม่ตรงกรอบอยู่เหมือนเดิม 

ซัวเรซแฮตทริก!!! 
มาถึงนาทีที่ 56 หลุยส์ ซัวเรซเอาแฮตทริกจากสนามแคร์โรลล์ โร้ดจนได้เมื่อเขาได้บอลอยู่หน้าปากเขตโทษด้านซ้ายก่อนตวัดยิงด้วยขวาบอล ปั่นโค้งเข้าเสาไกลอย่างสวยงามเป็นประตูพา"หงส์แดง"ขึ้นนำห่าง 4-0 

นกขมิ้นไม่ยอมทวงมา 1 ดอก 
นอริช ซิตี้บุกแหลกและทวงประตูตีไข่แตกจนได้เมื่อสตีฟ มอร์ริสันเก็บตกบอลกระฉอกจากลูกยิงของรัสเซลล์ มาร์ตินก่อนสับด้วยขวาเต็มข้อบอลผ่านมือของเปเป้ เรน่า สกอร์ขยับมาเป็น 4-1 แล้ว 

หัวขิงยิงแฉลบส่งหงส์ 5-1 
สตีเว่น เจอร์ราร์ดเปิดบอลทะลุช่องไปให้ราฮีม สเตอร์ลิ่งได้หลุดเข้ากรอบเขตโทษด้านขวาก่อนเจ้าหน้าวัย 17 ปีตวัดกลับมาให้กัปตันทีมที่วิ่งขึ้นมาหน้าวงกลมกรอบเขตโทษแปบอลด้วยขวาข้าง ถนัดบอลไปแฉลบกองหลังเปลี่ยนทางทำให้จอห์น รัดดี้เสียจังหวะกลับตัวไม่ทัน"หงส์แดง"ขึ้นนำห่างอีกครั้ง 5-1 

หงส์ผ่อนเกมโดนอีกลูก 
เข้าสู่ช่วง 5 นาทีสุดท้ายแกรนท์ โฮลท์ได้บอลหลุดมาทางนอกเขตโทษด้านซ้ายก่อนบรรจงยิงด้วยขวาบอลพุ่งผ่านมือเป เป้ เรน่าเข้าหน้าต่างเสา 2 ทำให้นอริชไล่ขึ้นมาเป็น 5-2 และจบการแข่งขันด้วยสกอร์นี้พร้อมขยับจากอันดับ 18 มาอยู่ที่ 14 ทันที 

ที่มา http://www.hugball.com/matchreport-Premier-League-Norwich-City-vs-Liverpool-5581.html

ซันเดอร์แลนด์ 1-1 ลิเวอร์พูล

ซันเดอร์แลนด์ 1-1 ลิเวอร์พูล 

โดยเจ้าบ้านใช้งาน สเตฟาน แซสเซญง จับคู่ สตีเว่น เฟล็ทเชอร์ เป็นสองคู่หูในแดนหน้า ขณะที่ทีมเยือน ลิเวอร์พูล ส่ง ราฮีม สเตอร์ลิง และ หลุยส์ ซัวเรซ เป็นสองแนวรุก และให้ ฟาบิโอ บอรินี่ เป็นหัวหอกตัวเป้า โดยแดนกลางมี สตีเว่น เจอร์ราร์ด,จอนโจ เชลวี่ย์ และ โจ อัลเลน ประคองเกม

เริ่มเกมมาถึงนาทีที่ 4 "หงส์เเดง"ลิเวอร์พูล ทีมเยือนได้โอกาสลุ้นทำประตูก่อน จากจังหวะที่หลุยส์ ซัวเรซจ่ายบอลให้กับจอนโจ้ เชลวี่ย์ได้ยิงไกลจากเเถวสอง เเต่บอลหลุดออกนอกกรอบไป

นาทีที่ 11 หลุยส์ ซัวเรซกระชากบอลผ่านเเนวรับขึ้นมาด้านฝั่งซ้าย ก่อนจะยิงบอลหลุดเสาเเรกออกไปอย่างน่าเสียดาย และนาทีที่ 18 การ์ลอส เกยาร์โหม่งบอลคืนหลังไม่ดี ฟาบิโอ บอรินี่โฉบเอาบอลไปยิงติดเซฟซิมง มินโญเลต์ เเละได้ซ้ำอีกทีโดยจอนโจ้ เชลวี่ย์เเต่บอลหลุดเสาไป

นาทีที่ 25 หลุยส์ ซัวเรซเเตะบอลคืนหลังให้ฟาบิโอ บอรินี่ได้วอลเล่ย์ด้วยขวา เเต่ไปตรงซิมง มินโญเลต์รับเอาไว้ได้

นาทีที่ 29 เคร็ก การ์ดเนอร์เปิดบอลจากด้านฝั่งขวา เข้ามาให้กับสตีเว่น เฟล็ทเชอร์ยิงผ่านมือโฆเซ่ เรน่าเข้าไปตุงตาข่าย พร้อมกับเป็นประตูให้ ซันเดอร์แลนด์ ขึ้นนำ ลิเวอร์พูล ก่อน 1-0 นาทีที่ 44 จอนโจ้ เชลวี่ย์เปิดบอลจากด้านริมเส้นฝั่งขวา ไปให้กับหลุยส์ ซัวเรซได้ยิง เเต่ไปติดเเนวรับซันเดอร์แลนด์ ก่อนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

เริ่มเกมครึ่งหลังมาด้วยอาการกดดันสุดขีดสำหรับทีมเยือน เกมดำเนินไปถึงนาทีที่ 50 เกล็น จอห์นสันลากบอลตัดเเนวรับซันเดอร์แลนด์ขึ้นมาด้านฝัังขวา เเต่จังหวะสุดท้ายยิงไปชนคานออกไปอย่างน่าเสียดาย



นาทีที่ 60 จอนโจ้ เชลวี่ย์จ่ายบอลจากด้านฝั่งขวา ให้สตีเว่น เจอร์ราร์ดยิงไปชนเสาเหลี่ยมนอกออกไปอย่างน่าเสียดาย

นาทีที่ 65 สตีเว่น เจอร์ราร์ดยิงบอลไปติดสเตฟาน แซสเซญง เเล้วมาเข้าทางมาร์ติน สเคอร์เทลได้โขก เเต่ซิมง มินโญเลต์รับเอาไว้ได้ ก่อนที่ในนาทีที่ 71 ราฮีม สเตอร์ลิ่งเปิดบอลจากด้านฝั่งขวา มาให้กับหลุยส์ ซัวเรซยิงจังหวะเเรกไปติดติตัส บรัมเบิ้ล ก่อนซัวเรซจะตามมายิงซ้ำเข้าไปตุงตาข่าย พร้อมกับเป็นประตูให้ ลิเวอร์พูล ตามตีเสมอ ซันเดอร์แลนด์ เป็น 1-1 

นาทีที่ 80 จอนโจ้ เชลวี่ย์ลากบอลเเหวกเเนวรับซันเดอร์แลนด์เข้ามาด้านฝั่งขวา ก่อนจะยิงไปติดเซฟซิมง มินโญเลต์ บอลกระดอนมาเข้าทางหลุยส์ ซัวเรซได้โหม่ง เเต่บอลก็ยังโด่งข้ามคานออกไป ในขณะที่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ นาทีที่ 1 หลุยส์ ซาฮาตัวสำรองที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาใหม่ได้โอกาสยิงไกลจากเเถวสอง เเต่บอลโด่งข้ามคานออกไป 

จบเกมทั้งคู่แบ่งแต้มกันแบบขัดใจแฟนทั้ง 2 ฝั่ง โดยเฉพาะทีมเยือน ที่ยังสะกดคำว่าชนะไม่ได้จนถึงขณะนี้

ที่มา : http://www.goal.com/th/match/80847/%E0%B8%8B%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%94-vs-%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%A5/report

ลิเวอร์พูล 1-2 แมนยู


ลิเวอร์พูล 1-2 แมนยู 


ก่อนที่จะมีการแข่งขันกัน ก็ได้มีการจัดพิธีรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร่ห์ เต็มไปด้วยความรู้สึกที่น่ายินดีเมื่อเห็นทั้งสองทีมร่วมใจกันจัดงานในครั้ง นี้ 

เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตันได้มีการถือดอกไม้ช่อใหญ่ไปให้กับเอียน รัชเพื่อที่จะนำไปวางไว้เป็นที่ระลึกแก่ผู้เสียชีวิต 

ว่ากันในเกมวันนี้ลิเวอร์พูลจัดซัวเรซลงเล่นดังเดิม เช่นเดียวกับเจอร์ราร์ดที่สวมปลอกแขนกัปตันทีมลงคุมแผงกลาง 

ด้านข้างยังคงเป็นสเตอร์ลิ่งที่ได้รับหน้าที่แบบยาวๆไปเลย เพราะฟอร์มเจ้าหนูคนนี้แหล่มจริง 

ด้านแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดน่าใจหายตรงที่ไม่มีแม้แต่เงาของวิดิชกัปตันทีม โดยเป็นเฟอร์ดินานด์และอีแวนส์จับคู่กัน เอฟร่ากลับมายืนแบ็คซ้ายอีกครั้ง 

คากาวะกับฟาน เพอร์ซี่ควงกันลงเพิ่มความอันตรายให้กับทีมเยือน พร้อมกับกิ๊กส์ที่คงกระพันลงเล่นแดงเดือดอีกครั้ง 

ครึ่งแรก 

เริ่มได้แฮปปี้!หม่อมเหยิน-จับมือฉันมิตร 
เป็นการเริ่มต้นมิตรภาพได้อย่างสวยงาม เมื่อคู่กรณีกันอย่างซัวเรซและเอฟร่าจับมือกันแบบไม่มีขัดเคือง ทำให้เรียกเสียงปรบมือจากแฟนบอลได้พอดูเหมือนกัน 

เสียวว๊าบ!ลินด์ปัดไม่พ้นเกือบโดนซ้ำ 
นาทีที่ 7 เล่นเอาเสียวว๊าบซ๊าบเลยสำหรับจังหวะที่ซัวเรซหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่ง ขวา ก่อนที่จะตวัดจังหวะแรกปาดกึ่งยิงกึ่งผ่านไปหน้าประตู ลินเดการ์ดปัดได้แต่ไม่พ้น กำลังจะโดนเจอร์ราร์ดเข้าตามซ้ำ แต่เป็นราฟาเอลที่พุ่งเข้าไปเคลียร์บอลโป่งเดียวหาย 

ผีโงหัวไม่ขึ้นเลย 
ผ่าน 15 นาทีแรก เป็นเกมของลิเวอร์พูลเน้นๆเลย มีโอกาสลุ้นเสียวหนึ่งดอกกับลูกยิงเข้าด้านข้างของเจอร์ราร์ด แต่พวกเขาก็ครองบอลต่อเนื่องได้เยี่ยม ลุยได้เยอะ แถมมิติที่จ่ายกันก็ดูหลากหลาย ผิดกับทางแมนฯยูไนเต็ดที่ขึ้นเกมไม่ได้ กองหน้าก็เก็บบอลไม่ได้อีกต่างหาก 

ไหวมั้ยเฮีย ... ริโอกระเผลกแล้ว 
ดูแล้วลุ้นเสียวกันแน่นอนสำหรับแฟนแมนฯยูไนเต็ด เพราะเฟอร์ดินานด์ดันมีอาการบาดเจ็บขึ้นมา แม้ว่าจะลงเล่นต่อได้ แต่ท่าทางดูไม่ค่อยดี ปกติไม่เจ็บก็เต่าเรียกพี่อยู่แล้ว เจ็บแบบนี้ไม่รู้ว่าจะหนืดลงไปขนาดไหนเหมือนกัน 

เขาล่ะ ... บังฝืนยังไกลเหลวไป 
นาทีที่ 26 แทนที่จะเปิดบอลให้เพื่อนได้ลุ้นทำประตู แต่กลับเลือกยิงเองจากระยะไกลโคตรๆซะงั้นสำหรับนานี่ที่ซัดฟรีคิกโด่งข้าม คานออกไป ก่อนทำหน้าขึงขัง สงสัยแก้เขิล 

นั่นไงล่ะ!พี่ติ๊กเข้าช้าเกือบถึงจุดโทษ 
นาทีที่ 32 ถ้าตำแหน่งมันลึกกว่านั้นอีกหน่อยล่ะจุดโทษแน่นอนเลยสำหรับจังหวะนี้ของเอฟ ร่าที่พยายามจะเข้าตัดสกัดจังหวะที่สเตอร์ลิ่งจะกระชากบอลพลิกเข้าเขตโทษ แต่ช้ากว่าเยอะ เลยรวบแบบเต็มๆ ยังดีที่ทีมไม่เสียหายอะไรมาก 

บังเกือบมอบโชคให้สเตอร์ลิ่ง 
อีก 5 นาทีต่อมา นอกจากรุกแย่แล้ว ตอนนี้ลงมาช่วยเกมรับก็ดันแจกโชคให้ฝั่งตรงข้ามอีก สำหรับนานี่ที่ลงไปสกัดบอลไปแป้กเห็นๆ พุ่งไปเข้าเท้าของสเตอร์ลิ่งที่ล็อกก่อนหนึงจังหวะแล้วซัด แต่ยังดีที่มีเพื่อนพุ่งบล็อกเอาไว้ได้ 

แอบโหดไปนะ!ไอ้จ้อนเสียบไอ้จ้อน ไอ้จ้อนเลยแดง 
นาทีที่ 39 จริงๆจังหวะนี้เมื่อดูจากภาพช้าแล้วไม่น่าจะถึงกับใบแดงเลย เพราะจังหวะที่เชลวี่ย์เข้าตัดบอลจากกิ๊กส์ได้ ก่อนที่จะพยายามพุ่งเข้าหาบอล พร้อมๆกับอีแวนส์ที่พุ่งเข้ามา กึ่งๆจังหวะ 50-50 แต่พอดีว่าสตั๊ดของเชลวี่ย์ไปจิ้มโดนขาอีแวนส์ บวกกับท่าทางดูจะลอยๆกว่า ผู้ตัดสินมองว่าเข้าบอลอันตรายเลยแจกใบแดงให้ทันที ต้องดูว่าเกมจะเปลี่ยนไปแค่ไหน เพราะก่อนหน้านี้ "หงส์แดง" ครองบอลวันเวย์เลย 

นอกจากประเด็นในสนาม แต่ก็มีภาพให้ได้เห็นว่าเชลวี่ย์ไประเบิดอารมณ์ไม่พอใจทะเลาะมีปากเสียงกับเซอร์ อเล็กซ์ที่ข้างสนาม ห้าวน่าดูเลย 

จบ 45 นาทีแรกของเกมวันเวย์เพราะเป็นลิเวอร์พูลที่ได้บุกอยู่ฝ่ายเดียว เพียงแต่ยังหาโอกาสจบสกอร์จังๆไม่ได้ แถมยังโชคร้ายมาเสียผู้เล่นไปจากใบแดงของเชลวี่ย์ที่ดูแล้วจริงๆเป็นการเข้า บอลซะด้วย ทั้งสองฝ่ายยังเสมอกันอยู่ 0-0 

ครึ่งหลัง 

แมนฯยูไนเต็ดต้องแก้เกมตามคาด เมื่อพวกเขาเปลี่ยนเอาสโคลส์ลงไปเล่นแทนนานี่ที่กากเหลือใจ ส่วนลิเวอร์พูลก็เปลี่ยนเช่นเดียวกัน ให้ซูโซ่ลงเล่นแทนบอรินี่ซึ่งจริงๆเกมนี้เขาก็เล่นได้ดีไม่หยอก 

เต็มตีน!ผีเหม่อโดนหัวขิงวอลเล่ย์เต็มตีน 
แค่หนึ่งนาทีของครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลก็ได้เฮกันสนามแตก เมื่อผู้เล่นแมนฯยูไนเต็ดยืนเหม่อกันทั้งที่มีีตัวผู้เล่นเยอะกว่า ปล่อยให้จอห์นสันกระบอลบอลผ่านเข้าเขตโทษ แม้ว่าจะโดนสะกิดแต่ก็ผ่านบอลถึงเจอร์ราร์ดที่ยืนว่างโล่งโจ้งอยู่คนเดียว ตรงกลางได้พักอกแล้ววอลเล่ย์ส่งบอลพุ่งผ่านมือของลินเดการ์ดเข้าไปเสียบเสา สวยงามยิ่ง ลิเวอร์พูลขึ้นนำไปแล้ว 1-0 

โคตรช็อก!หย๋อยศักดิ์ปั่นเสียบงามโพด 
นาทีที่ 51 ได้ประตูตีเสมอคืนทันควันแถมยังสวยสุดๆเลยสำหรับแมนฯยูไนเต็ด เมื่อราฟาเอลพาบอลตะลุยขึ้นหน้า ก่อนที่จะจ่ายต่อให้เพื่อน แล้ววิ่งเข้าไปรอในกรอบเขตโทษ คากาวะพักอกส่งบอลต่อให้ ก่อนที่ราฟาเอลจะสบช่องเอี้ยวตัวปั่นบอลด้วยซ้ายโค้งอ้อมกองหลังก่อนที่จะ ผ่านมือของเีรน่าเข้าไปเช็ดเสาสองสวยงามเหลือเชื่อว่าพี่หย๋อยแกจะยิงได้ เกมเจ๊ากันแล้ว 1-1 

หงส์ร้องลุ้นจุดโทษสองจังหวะ 
นาทีที่ 58 สองเด้งสองต่อเลยสำหรับลิเวอร์พูลที่ร้องจะเอาจุดโทษจากจังหวะแรกที่ซัวเรซ พยายามพุ่งเข้าหาบอล แต่โดนอีแวนส์จิ้มเอาไว้ล้มลงไป แต่ท่าสวยไปหน่อย ผู้ตัดสินเลยเฉย ก่อนที่สเตอร์ลิ่งจะโดนสโคลส์พุ่งเข้าสกัดจนกลิ้งไปอีกคน ผู้ตัดสินก็ยังเฉยอยู่เหมือนเดิม 

หม่อมเหยินยิงสวยแต่ลินด์เซฟจัด 
อีก 3 นาทีต่อมา เ้ด เกอานั่งหนาวขี้อยู่ข้างสนามเลย เมื่อเจอช็อตเซฟลูกนี้ของลินเดการ์ดเข้าไป กับจังหวะที่ซัวเรซยึกหาจังหวะยิงหน้าประตู ก่อนจะแตะสบช่องปั่นบอลพุ่งเลียด แถมมีแฉลบเพิ่มความยากในการรับไปอีก แต่ลินเดการ์ดก็ไม่พลาด ดีดตัวปัดมือเดียวเอาไว้ได้ทัน 

แอบเสียว!ซูโซ่วิ่งตะบันติดเซฟ 
นาทีที่ 66 เกือบจะได้ลุ้นทำประตูในเกมแดงเดือดกับเขาแล้วสำหรับซูโซ่ ในจังหวะที่เขาค่อยๆขยับเติมขึ้นไปในจังหวะที่ซัวเรซยืนฟันจอบสับขาหลอก เฟอร์ดินานด์อยู่ ก่อนที่จะป้ายคืนให้แข้งดาวรุ่งวิ่งซัดเต็มๆ แต่ไม่ผ่านมือของลินเดการ์ดที่ปัดป้องไว้ได้ 

ผีเล่นกันป้อกแป้กมาก 
เข้าสู่ช่วง 15 นาทีสุดท้าย แม้ว่าจะมีตัวผู้เล่นมากกว่าอยู่ตั้งนานสองนาน แต่เกมของแมนฯยูไนเต็ดไม่ได้เหนือกว่าเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนใหญ่จะมีแต่จ่ายกันผิดพลาด ไม่ก็โดนลิเวอร์พูลดักกันจนขึ้นเกมรุกไม่ได้เลย 

ได้ไง ... ผีได้จุดโทษซะงั้น 
นาทีที่ 77 ออกอาการมึนงงกันทั้งสนามและคนดู เมื่อวาเลนเซียแตะบอลกระชากหนีผู้เล่นของลิเวอร์พูลที่เข้าสกัดบอลกันช้าได้ ก่อนจะควบจี้เข้าไปในกรอบเขตโทษ แม้ว่าจะมีตัวให้จ่ายแต่เขาเลือกเล่นเอง พยายามง้างจะยิง แต่มีจอห์นสันพุ่งเข้าไปข้างหลัง แล้วล้มลงไป ผู้ตัดสินเลยเป่าเป็นจุดโทษทันที แต่พอมาดูจากภาพช้า ไม่ได้ใกล้เคียงกับการสกัดแท็คเกิ้ลเลยแม้แต่นิด เพราะจอห์นสันพุ่งอ้อมไปพยายามแหย่บอลจนชนกับเรน่า ส่วนวาเลนเซียง้างจะยิงแล้วเหมือนลื่นล้มไปเอง แต่ได้จุดโทษ ก่อนที่ฟาน เพอร์ซี่จะรับหน้าที่สังหาร แม้ว่าเรน่าจะพุ่งถูกทาง แต่บอลมันแรงเกินเลยเอาไม่อยู่ แมนฯยูไนเต็ดพลิกขึ้นนำ 2-1 

จากจังหวะก่อนหน้านี้ทำให้แอกเกอร์ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกไปเรพาะเจ็บเล่นไม่ไหว ก่อนที่คาร์ราเกอร์จะลงไปเล่นแทน 

หงส์ร้องใบแดง RVP 
นาทีที่ 84 ลิเวอร์พูลร้องขอจะเอาใบแดงบ้าง เมื่อฟาน เพอร์ซี่ไปเสียบสกัดใส่ผู้เล่นลิเวอร์พูลแบบเหมือนจะเปิดปุ่มด้วย แต่ผู้ตัดสินปล่อยให้เกมเล่นกันต่อก่อนจะกลับไปแจกใบเหลืองหใ้กับแข้งเลือด ดัตช์ 

ช่วงท้ายเกมแมนฯยูไนเต็ดดึงเกมกระจาย ไม่ว่าจะเล่นช้าหรือชิงเปลี่ยนตัว ก่อนที่จะยื้อจนจบลงที่สกอร์ 2-1 เป็นชัยชนะของพวกเขาเหนือลิเวอร์พูลชนิดที่เรียกได้เลยว่าแฟนบอลเจ้าบ้าน คงจะหงุดหงิดกับผลการแข่งน่าดูแน่นอน 

ที่มา : http://www.hugball.com/matchreport-Premier-League-Liverpool-vs-Manchester-United-5436.html

ลิเวอร์พูล 0-2 อาร์เซน่อล

ลิเวอร์พูล 0-2 อาร์เซน่อล

ออกสตาร์ทครึ่งแรกมาเพียง 4 นาทีเจ้าถิ่นได้ลุ้นก่อน บอรินี ลากขึ้นมาตรงกลางก่อนสับไกลจากระยะ 25 หลาบอลเรียดหลุดกรอบไปไม่ไกล 

นาทีที่ 10 โอกาสเป็นของ "ปืนโต" บ้าง โดยใช้ความสามารถเฉพาะตัวลากเข้าเขตโทษแต่ยิงบอลไปเข้ามือ เปเป เรนา รับไว้ไม่ยาก "หงส์แดง" ขึ้นเกมทางฝั่งซ้ายอีกครั้ง โฆเซ เอ็นริเก โยนเข้ามาให้ ซัวเรส โขกเช็ดบอลลอยไปตกที่หลังประตูเท่านั้น
       
เข้าสู่นาที 31 สตีเวน เจอร์ราร์ด มาพลาดเสียบอลในแดนคู่แข่ง อาร์เซนอล ขึ้นเกมเร็วมาที่ คาซอลา ไหลต่อให้ โพดอลสกี ที่เติมขึ้นมากดยิงเรียดบอลสวนตัว เรนา เข้าไปซุกก้นตาข่าย ส่งให้ทีมเยือนออกนำก่อน 1-0 หลังเสียประตู ลูกทีมของ ร็อดเจอร์ส อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องเปิดเกมรุกคืนทันที แต่ยังหาโอกาสยิงประตูคืนไม่ได้


       
กระทั่งท้ายครึ่งแรกนาที 37 แนวรับของ อาร์เซนอล เคลียร์กันไม่ขาด เจอร์ราดร์ด โหม่งชงให้ ราฮีม สเตอร์ลิง พลิกเข้าซ้ายหนี แมเตอร์ซัคเกอร์ บอลพุ่งไปเข้าที่หน้าต่างเสาแรกอย่างน่าเสียดาย 

จากนั้นไม่ถึง 3 นาที แฟน "เดอะค๊อปส์" เกือบต้องเงียบกับทั้งสนามเมื่อ ดิยาบี ทำเกมขึ้นตรงกลางก่อนแทงต่อให้ ชิรูด์ ยิงไม่เต็มเท้านักบอลเลี้ยวออกหลังไปไม่ไกล จบครึ่งแรกเป็น "กันเนอร์ส" บุกนำอยู่ 1-0
       
กลับมาเล่นครึ่งหลังนาที 52 อาร์เซนอล ทำเกมรุกขึ้นมาทางซ้าย โพดอลสกี ไหลต่อให้ กิบส์ ที่เติมขึ้นมาทางซ้ายกดยิงแบบไม่จับ ยังดีที่ เรนา ปิดเสาแรกอยู่แล้วปัดทิ้งได้ทัน 



จากนันไม่นาน ร็อดเจอร์ส ต้องส่ง สจ๊วร์ต ดาวนิง ลงมาแทน บอรินี ที่วันนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์ และแผลงฤทธิ์ทันทีเมื่อตอกส้นคืนมาให้ ซัวเรซ ตะบันเต็มเท้าทว่า วิคเตอร์ มาโนเน ไม่พลาดง่ายๆ ปิดข้ามคานไปได้
       
ผ่าน 1 ชั่วโมงของเกมทั้งสองทีมเปิดแลกกันสนุก คาร์ล เจนกินสัน ลากตัดเข้ามายิงด้วยเองก่อน กะเล่นงานเสาแรก แต่ยังไม่ผ่านมือของนายประตูเจ้าถิ่น นาทีถัดมา ดาวนิง ยิงไกลแต่ก็ไม่หนีมือ มาโนเน 

ถัดมา 7 นาที "ปืนใหญ่" หนีห่างออกไปเป็น 2-0 การ์ซอลา ทำชิ่งกับ "โพลดี้" หลุดขึ้นมายิงด้วยซ้ายมุมแคบ แต่บอลเป็นใจ เรนา ล้มตัวช้าบอลลอดแขนเข้าไปกระทบก้นตาข่ายง่ายๆ


       
ช่วง 10 นาทีสุดท้าย ดาวนิง ได้โอกาสยิงจากบริเวณหัวกะโหลก บอลไปแฉลบ แฟร์มาเลน ที่พุ่งเข้ามาบล็อกบอลลอยออกหลังไปอีก 

เวลาที่เหลือ "หงส์แดง" กระน่ำบุกหบัก และเกือบได้ประตูตีไข่แต่จากลูกยิงของ จอนโจ เชลวีย์ และ ซัวเรซ ทว่าก็ไม่ดีพอจะผ่านมือของ มาโนเน ที่พุ่งเซฟไว้ได้หมด จบเกม อาร์เซนอล บุกเอาชนะ 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล แพ้เป็นนัดที่ 2 มีแต้มเดียวจากการลงเตะ 3 นัด ยังสะกดคำว่าชนะไม่เป็นในฤดูกาลนี้ ส่วนอาร์เซนอลได้สถิติไม่เสียประตูเลยไปครองแบบเท่ๆ

ลิเวอร์พูล 2-2 แมนเชสเตอร์ ซิตี้



ลิเวอร์พูล 2-2 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

บิ๊กแมตช์ประจำสัปดาห์ส่งท้ายเดือนสิงหาคม เมื่อลิเวอร์พูลเปิดรังต้อนรับการมาเยือนของแชมป์เก่าอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องดูว่าเจ้าบ้านจะไหวรึเปล่ากับเกมนี้

ร็อดเจอร์สทำให้แฟนบอลต้องตะลึงกันพอสมควร เมื่อเขาตัดสินใจส่งสเตอร์ลิ่งปีกดาวรุ่งวัยเพียง 17 ปีลงเล่นในเกมนี้ ถือว่าเป็นการวัดใจกันเลยทีเดียวว่าจะรุ่งหรือจะร่วงคู่

เจอร์ราร์ดลงเป็นกัปตันทีมดังเดิม ในขณะที่อีกฝากเป็นบอรินี่ที่เบียดดาวนิ่งไปนั่งสำรอง

แมนเชสเตอร์ ซิตี้แม้จะขาดอเกวโร่ที่ต้องพักไปนั้น พวกเขาก็ไร้ปัญหาในตำแหน่งอื่นๆ เพราะยังมีทีเด็ดจากเตเบซ รวมทั้งบาโลเตลลี่ที่ลงทำหน้าที่แทนในเกมนี้

ร็อดเวลล์ถูกขยับไปเป็นเพียงแค่ตัวสำรอง โดยเดอ ยองลงผนึกกำลังกับยาย่าในแดนกลาง ดูแล้วยังไงก็ปึ้ก แน่น หนัก

ครึ่งแรก

ชิหาย ... เทพลูเจ็บเล่นต่อไม่ไหว
แค่ 5 นาทีแรก ลิเวอร์พูลก็ต้องเจอกับสัญญาณไม่ดีที่พวกเขาไม่ต้องการเห็น เมื่อลูคัสเกิดมีอาการบาดเจ็บขึ้นมา ส่ายหน้าเล่นต่อไม่ไหว จึงจำต้องเปลี่ยนออกและส่งเชลวี่ย์ลงไปเล่นแทน กลางจะมีปัญหามั้ยก็ต้องดูกัน

หม่อมเหยินขุนดันไปนิด
ผ่าน 15 นาทีแรก เกมยังไม่ได้มีความต่างมาก แต่แมนฯซิตี้ครองบอลได้ดีกว่าอยู่สักหน่อย ส่วนลิเวอร์พูลก็มีจังหวะบุกใส่เหมือนกัน แต่จังหวะส่วนมากจะไปไม่ถึงไหน ซัวเรซพอได้บอลก็ออกจากฝืนๆไปหน่อย เลี้ยงเข้าไปชนไปติด น่าจะมีผ่อนจ่ายออกให้เพื่อนบ้าง

โอยยยยเฉียด!บอรินี่เข้าชาร์จถากสีเสาปลิว
อีก 3 นาทีต่อมา ลูกนี้มันน่าใส่สกอร์ซะจริง กับจังหวะที่สเตอร์ลิ่งทำได้สวยครอสบอลจากด้านข้างเข้าพื้นที่อันตรายหน้าประตู ก่อนที่บอรินี่จะพุ่งโฉบใช้ข้างเท้ายิง บอลพุ่งผ่านหน้าฮาร์ทที่ได้แต่มองไปแล้ว แต่หลุดเสาออกไปหวุดหวิด

อันนี้ก็เสียว!เตฟควบไปเปิดชนเสา
ต่อเนื่องกันไปเลยสำหรับแมนฯซิตี้ที่ได้สวน เตเบซวิ่งควบไปเอาบอลที่เพื่อนจ่ายมาให้ แม้ว่ามันจะเกือบสุดแสนหลังและมุมแทบไม่เหลือ แต่เขาก็ตวัดผ่านเรน่าที่ออกไปไม่เจอบอล จนไหลไปชนเสาอีกฝาก ดีที่โดนเหลี่ยมนอกและไม่มีผู้เล่น "เรือใบ" เข้าไปซ้ำ ไม่งั้นมีโศกแน่

บอรินี่คึกคักโคตร
นาทีที่ 28 เป้นการจ่ายบอลหาช่องกันที่ทำได้ดีสำหรับลิเวอร์พูล ที่ต่อสลับกันไปมา ก่อนบอรินี่จะวิ่งให้เพื่อนจ่ายตามช่องแล้วได้ส่องเน้นๆ แม้ว่าจะติดบล็อกของกองหลัง แต่เจ้าตัวก็ฮึดชูมือกระตุ้นให้แฟนบอลส่งเสียงเชียร์เร้าให้มากขึ้นอีก

เกือบไปแล๊ว!กอมปานีหวิดยิงตัวเอง
นาทีที่ 33 หวุดหวิดมากจริงๆสำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่จะเสียประตูแบบไม่น่าเสีย ในจังหวะที่เจอร์ราร์ดเติมขึ้นไปเปิดลูกไม้ตายครอสบอลสวิงเข้าไปในกรอบเขตโทษ กอมปานีพยายามจะสกัดแต่บอลมันไต่ขาวเกือบปลิ้นเสียบใต้คาน ยังดีที่หลุดข้ามออกไปเฉียดฉิว

สนามแตก!ปลาคาร์ฟโหม่งเต็มเหน่งหงส์ได้เฮ
อีก 2 นาทีต่อมา เล่นเอาแฟนบอลเฮกันสนามแทบแตกจริงๆ ในจังหวะเตะมุมที่เจอร์ราร์ดปั่นบอลปั่นบอลมาสวยสุดๆ ก่อนที่สเคอร์เทลซึ่งไปแอบอยู่โซนนอกจากวิ่งควบเข้ามาจุดนัดพบเทคตัวขึ้นโขกเต็มๆผ่านฮาร์ทเข้าไปกระแทกตาข่าย ลิเวอร์พูลนำไปแล้ว 1-0 สนุกล่ะทีนี้

หม่อมเหยินพลิกยิงยังไม่ได้
เป็นอีกหนึ่งโอกาสของซัวเรซที่ยังไม่เข้าเป้าสักเท่าไหร่ ในจังหวะที่หลังของแมนฯซิตี้ยืนหลวมไปนิด ปล่อยให้หอกฟันไม่เข้ายืนรับบอลมาจากอัลเลน ก่อนจะพลิกแล้วปั่นด้วยเท้าขวา แต่เรดาห์เบี่ยงไปนิด บอลเลยพุ่งไม่ตรงกรอบ

จบ 45 นาทีแรก ถือว่าเป็นเกมที่แลกกันน่าดู เพราะแมนฯซิตี้ที่มาเยือนจัดทีมแบบไม่มีเกรงอยู่แล้ว สุดท้ายเป็นเจ้าบ้านลิเวอร์พูลที่แม้ก่อนเกมจะเป็นรอง แต่ตอนนี้ขึ้นนำไปก่อน 1-0 เหลือ 45 นาที ยังมีอะไรให้ลุ้นกันอีกเยอะะะะ

ครึ่งหลัง

หม่อมเหยินพลาดโอกาสทอง
ลงเล่นครึ่งหลังมาแค่ 5 นาที ลิเวอร์พูลก็เกือบจะได้ประตูที่สอง ติดอยู่ตรงที่ซัวเรซวันนี้เหมือนสมาธิไม่ดีเอาซะเลย ทั้งที่บอรี่นี่ปั้มบอลมาอย่างงาม จ่ายตัดเข้ากลางให้ซัวเรซได้วิ่งเข้าชาร์จ แต่เจ้าตัวกลับยิงแป้กหลุดออกหลังไป แม้ว่าจะโดนเบียดก็จริง แต่ยังไงก็น่าจะทำได้ดีกว่านี้

สูตรไหน?เรือส่งร็อดเวลล์แทนนาสรี่
นาทีที่ 60 ดูแล้วงงๆนิดหน่อยว่าทำไมเปลี่ยนแบบนี้ แต่คงเตรียมแผนมาแล้วสำหรับมันชินี่ที่ถอดนาสรี่ออกไปและส่งร็อดเวลล์ที่เป็นมิดฟิลด์ตัวบึ้กลงไปเล่นแทน ต้องดูว่าจะมีการปรับแก้กันยังไงบ้าง

เรือจัดเชโก้ลงแทนเกรียนโอ้
อีก 2 นาทีต่อมา ตอนนี้เปลี่ยนตามตำแหน่งเลยสำหรับแมนฯซิตี้ที่ถอดเอาบาโลเตลลี่ออกไปและส่งเชโก้ลงไปเล่นแทน ส่งแข้งตัวใหญ่สองตัวลงไปแบบนี้อาจจะมีแผงเล่นลูกตั้งเตะอะไรรึเปล่ามันชินี่

เขาคนนี้เท่านั้น!หงส์พลาด-ยาย่าสังหาร
นาทีที่ 63 กลับมาเสมอกันแบบไม่ต้องให้รอนานมากนักเลย เมื่อแมนฯซิตี้มาได้ฮีโร่หน้าเดิมเวลาตกทุกข์ได้ยากถามหาเขาคนนี้ยาย่า ตูเร่ที่ฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของลิเวอร์พูล ไล่ตั้งแต่การไม่ให้เสียงกัน เรน่าขึ้นจะปัดลูกครอสของเตเบซพร้อมกองหลัง บอลเลยแฉลบเลยไปเสาสอง เคลลี่ไม่ทันตั้งตัวพักบอลไม่อยู่ กลายเป็นใส่พานให้ยาย่าตวัดยิงเข้าประตูไปขนไหม้เกรียม เกมเจ๊ากัน 1-1

สุดตีน!หม่อมเหยินปั่นฟรีคิกสวยหยด
อันนี้เร็วยิ่งกว่า เพราะแค่ 3 นาทีต่อมา ลิเวอร์พูลก็กลับขึ้นไปนำอีกครั้ง ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นซัวเรซที่วันนี้โอกาสแยะแต่ทำไม่ได้ ก็มาทำประตูสุดสวยจากฟรีคิกที่เขายิงหลอกปั่นโค้งอ้อมกำแพง เหมือนว่าร็อดเวลล์จะยืนปิดมุมไม่ดีด้วยหรือไงไม่รู้เพราะกล้องจับเหลือเกิน แต่บอลก็พุ่งโค้งงามๆเบียดเสียบเสาเข้าไป สุดปัญญาที่ฮาร์ทจะบินทัน เกมสนุกสุดๆลิเวอร์พูลนำ 2-1

อยู่ยาก!เรือต้องส่งหน้าหนูลง
นาทีที่ 76 ตอนนี้กลับมาตามอีกครั้ง แถมลิเวอร์พูลยังคึกน่าดู ทำให้แมนฯซิตี้ต้องส่งตัวทีเด็ดอย่างซฺลบาลงเล่นแทนมิลเนอร์ที่พูดก็พูดเถอะว่าแทบไม่เห็นจริงๆว่าอยู่ตรงไหนของสนาม

ฮีโร่ทูซีโร่!พี่คาร์ฟจ่ายพลาดโดนยิงเจ๊าเลย
นาทีที่ 80 หมดคำจะพูดเลยสำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูล เพราะพวกเขากำลังเฝ้ารอชัยชนะอันสวยงาม แต่ฮีโร่ผู้ทำประตูแรกอย่างสเคอร์เทลกลับไปเล่นยากล็อคบอลในแดนตัวเอง ก่อนจ่ายกลับหลังน้ำหนักเบาหวิว เลยเจอเตเบซฉกไปกระชากหนีเรน่าแล้วแปเข้าไปแบบง่ายดาย เกมเสมอ 2-2 แต่คราวนี้โมเมนตั้มอยู่ที่ "เรือใบ" เต็มๆแล้ว

ช่วยทีลูก!หงส์จัดแครอทมาฝาก
อีก 3 นาทีต่อมา มีเท่าไหร่ก็ต้องใส่ไปลุ้นแล้วสำหรับลิเวอร์พูลที่ถอดเอาบอรินี่ออกไปแล้วส่งแคร์โรลล์ลงไปเล่นแทน งานนี้อาจจะได้เห็นการบอมบ์เกิดขึ้นแน่ๆ

แครอทได้โขกแต่ไม่พอ
นาทีที่ 88 จังหวะนี้ถ้าไม่มีร็อดเวลล์แมนฯซิตี้โดนแน่ๆ เพราะลิเวอร์พูลกดดันอย่างหนัก ก่อนที่ซัวเรซจะยกบอลไปเสาสองให้แคร์โรลล์สะบัดหัวโหม่งเต็มๆ บอลเกินระยะของฮาร์ทไปแล้ว แต่มีร็อดเวลล์ยืนคุมเส้นอยู่ สกัดออกได้ทัน

จบเกมที่แสนจะสนุกสุดมันส์ได้ลุ้นกันเรื่อยๆ เป็นอันว่าทั้งสองทีมเสมอกันไปด้วยสกอร์ 2-2 ลิเวอร์พูลยังคงไม่ชนะใครต่อไป ส่วนแมนฯซิตี้ตอนนี้ชนะ 1 เสมอไปอีก 1 ยังต้องลุ้นกันอีกยาวๆสำหรับฤดูกาลนี้


ที่มา : http://www.hugball.com/matchreport-Premier-League-Liverpool-vs-Liverpool-4821.html

เวสต์บรอมวิช 3-0 ลิเวอร์พูล


เวสต์บรอมวิช 3-0 ลิเวอร์พูล 
เปิดฉากครึ่งแรกมา 2 นาที เวสต์บรอมวิช ได้ลุ้นก่อนจากจังหวะที่ เลียม ริดจ์เวลล์ พาบอลลุยเข้าเขตโทษก่อนกดด้วยซ้ายบอลไซด์ก้อยโด่งออกหลังไป นาที 9 เวสต์บรอมวิช จ่ายบอลคืนหลังพลาดทำให้ หลุยส์ ซัวเรซ ฉกบอลไปได้ก่อนกระชากจี้เข้าหาเขตโทษไปกดด้วยขวา เบน ฟอสเตอร์ ต้องทบบอลออกข้างไป
นาที 16 เกล็น จอห์นสัน จ่ายบอลให้ หลุยส์ ซัวเรซ ได้ล็อกบอลหลบผู้เล่นเวสต์บรอมวิช ไปกดด้วยขวาจากบริเวณเส้นเขตโทษบอลพุ่งตรงตัว เบน ฟอสเตอร์ รับเข้าซองสบาย นาที 25 หลุยส์ ซัวเรซ กระชากบอลหนีเข้าเขตโทษทางซ้ายก่อนตัดสินใจกดด้วยซ้ายบอลพุ่งเสียบหน้าต่าง
นาที 29 เกล็น จอห์นสัน พาบอลขึ้นมาทางฝั่งซ้ายก่อนโยนยาวเข้าเขตโทษ หลุยส์ ซัวเรซ เทกตัวขึ้นโขกแต่กดไม่ลงบอลโด่งข้ามคาน
นาที 38 หลุยส์ ซัวเรซ เปิดบอลจากด้านขวาอัดเข้าเขตโทษบอลไปโดน เวสต์บรอมวิช กระเด็งมาหน้าเส้นเขตโทษ เกล็น จอห์นสัน เติมมากดซ้ำด้วยขวาบอลโด่งข้ามคานออกหลังไป
8) นาที 42 เวสต์บรอมวิช มาได้ฟรีคิกนอกกรอบทางขวา สตีเว่น รีด ปั่นด้วยซ้ายบอลโดน หลุยส์ ซัวเรซ โด่งข้ามคานออกหลัง จังหวะต่อมาจากลูกเตะมุมทางฝั่งขวา เจมส์ มอร์ริสัน เปิดยาวเข้าเขตโทษ มาร์ติน สเคอร์เทล โหม่งสกัดออกมาเข้าทาง โซลตัน เกร่า ได้ตะบันด้วยขวาจากนอกกรอบบอลพุ่งเสียบสามเหลียมสุดสวย ทำให้ เวสต์บรอมวิช ขึ้นนำไปก่อน 1-0
เวลาที่เหลือทั้งสองทีมไม่สามารถทำประตูกันเพิ่มได้จบเกมครึ่งแรก เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ยังนำ”หงส์แดง“ลิเวอร์พูล 1-0
เริ่มเกมครึ่งหลังมา 3 นาที ลิเวอร์พูลมาได้ลุกฟรีคิกหน้าเส้นเขตโทษกลางประตู หลุยส์ ซัวเรซ ปั่นด้วยขวาบอลโค้งออกหลัง นาที 58 ลิเวอร์พูล ต้องมาเหลือผู้เล่น 10 คน เมื่อ เนียล แอ็กเกอร์ โดนใบแดงจังหวะที่ไปผลัก เชน ลอง ล้มลงในเขตโทษผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษทันที และเป็น เชน ลอง สังหารเองแต่พลาดยิงไปเข้าซอง โฆเซ่ เรน่า
8) นาที 64 เวสต์บรอมมาได้ประตูหนีไปเป็น 2-0 จากลูกจุดโทษจังหวะที่ มาร์ติน สเคอร์เทล ไปเตะ เชน ลอง ในเขตโทษ ปีเตอร์ โอเดมวิงกี้ เป็นคนสังหารกดเสียบตาข่ายไม่พลาด
นาที 72 โรเมลู ลูกากู พาบอลหลุดขึ้นมาทางกราบขวาก่อนจ่ายใส่พานให้ เจมส์ มอร์ริสัน ได้แปเน้นๆแต่บอลเหินข้ามคานไปอย่างน่าผิดหวัง
8) นาที 77 สกอร์เวสต์บรอมวิช ไหลไปเป็น 3-0 จากจังหวะที่ เลียม ริดจ์เวลล์ เปิดบอลจากด้ายซ้ายหยอดเข้าเขตโทษให้ โรเมลู ลูกากู ได้กระโดดโขกโล่งๆที่เสาสองบอลเสียบตาข่าย
นาที 81 ฟาบิโอ บอรินี่ เปิดบอลจากทางฝั่งขวาเข้าเขตโทษให้ หลุยส์ ซัวเรซ ได้โขกเน้นๆแต่ยังไม่ตรงกรอบบอลออกหลัง
นาที 85 โรเมลู ลูกากู ไหลสั้นให้ มาร์ก อองตวน ฟอร์จูเน่ ได้หลุดเข้าไปกดด้วยซ้าย โฆเซ่ เรน่า ยังเหนียวปัดออกหลังไปได้ เวลาที่เหลือไม่มีประตูเกิดขึ้นจบเกม 90 นาที เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ถล่ม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ไป 3-0